https://www.google.co.th/maps/place/Dada_battery
จำหน่ายแบตเตอรี่ รถยนต์ทุกชนิด (แบตใหม่ทั้งร้าน)
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558
การต่อพ่วงแบตเตอรี่จากรถคันอื่น จำเป็นต้องเรียนรู้การต่อพ่วงอย่างถูกวิธี
การต่อพ่วงแบตเตอรี่จากรถคันอื่น จำเป็นต้องเรียนรู้การต่อพ่วงอย่างถูกวิธีดังนี้
1. ดูประเภทรถที่เหมาะสมกัน ให้ดูจากขนาดแบตเตอรี่เป็นหลัก คือรถที่จะนำมาต่อพ่วงต้องมีขนาดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันหรือใหญ่กว่ารถที่ไฟหมด
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารถที่ไฟหมดเป็นรถ กระบะคันใหญ่จะนำรถเก๋งขนาดเล็กมาต่อพ่วงไม่ได้
เพราะจะสตาร์ทเครื่องไม่ติด เนื่องจากขนาดของไดสตาร์ทของรถกระบะมีขนาดใหญ่ต้องการกำลังไฟมากกว่านั้นเอง
2. สายที่นามาใช้ต่อพ่วงต้องมีขนาดใหญ่พอสมควรและไม่ยาวจนเกินไป จานวน
2 เส้น
เพื่อที่จะสามารถนาพาประจุไฟฟ้ามาใช้ในการสตาร์ทได้อย่างเต็มที่ เราจะสังเกตได้จากอุณหภูมิที่ตัวสายพ่วง
ขณะสตาร์ทจะร้อนมาก ถ้าใช้สายเส้นเล็กอาจจะทาให้สตาร์ทไม่ติดและสายไฟอาจจะละลายขาดได้เลยทีเดียว
ควรมีสีที่แตกต่างกัน สีละเส้นเพื่ อป้ องการต่อสลับขั้ว ที่นิยมใช้คือ แดง (+) ดา (-)
3. นารถมาจอดคู่กัน ให้ด้านที่มีแบตเตอรี่หันเข้าหากัน เพื่อสะดวกในการต่อพ่วง
และ
ควรจอดในลักษณะที่ปลอดภัย แต่อย่าให้รถสัมผัสกัน
เพราะรถบางคัน บางยี่ห้อต่อไฟลงกราวน์ไม่ เหมือนกัน บางคันต่อกับขั้วบวก บางคันก็ต่อกับขั้วลบ
ถ้าจอดรถให้สัมผัสกัน ไฟเกิดช๊อตขึ้นมา ทาให้ แบตเตอรี่เสื่อมได
ขั้นตอนการพ่วงสายแบตเตอรี่ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ปิดสวิตซ์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถคันที่
แบตเตอรี่ไม่มีไฟ
2. ใช้สายพ่วงสีแดงสายบวก (+) นำหัวต่อสายกับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ ที่ไม่มีไฟ หัวสายที่เหลือต่อเข้ากับขั้วบวก
(+) ของแบตเตอรี่ที่มีไฟ
3. ใช้สายพ่วงสีดา สายลบ (-) นำหัวสายต่อกับขั้วลบ
(-) ของแบตเตอรี่ที่มีไฟ หัวสายที่ เหลือต่อ เข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์
หรือตัวถังรถคันที่ แบตเตอรี่มีไฟน้อย โดยห่างจากแบตเตอรี่ มากที่สุด
4. สตาร์ทเครื่องยนต์ที่แบตเตอรี่มีไฟแล้วเร่งเครื่องเล็กน้อย
5. สตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่ไฟหมด ถ้ามอเตอร์สตาร์ทยัง หมุนช้า ตรวจเช็คสายพ่วงดูว่าคีบแน่นหรือไม่
จากนั้นเร่งเครื่องประมาณ 2,000 รอบ/นาที
จนแน่ใจว่าเครื่องยนต์ไม่ดับจึงปล่อยคันเร่ง
6. เมื่อสตาร์ทรถยนต์คันที่ไฟหมด
ติดแล้ว จึงค่อยถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ทวนตามลาดับที่กล่าวมาข้างต้น
6.1 ถอดสายลบ (-) โดยถอดหัวสายออกจากตัวถังรถ แบตเตอรี่ไฟน้อย
6.2 ถอดหัวสายลบที่เหลือจากขั้วลบของแบตเตอรี่ไฟดี
6.3 ถอดสายบวก(+) โดยถอดหัวสายออกจากขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ไฟดี
6.4 ถอดหัวสาย (+) ที่เหลือออกจากขั้วบวก (+) รถแบตเตอรี่ไฟน้อย
ตามลาดับ
ควรปฏิบัติตามขั้นตอนทั้ง 6 ข้อตามลาดับ
เมื่อรถสตาร์ทติดแล้วควรรีบนำรถคู่ใจของ เข้าตรวจเช็คทันที เพื่อเช็คสภาพ หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ต่อไป
ข้อควรระวังก่อนการพ่วงแบตเตอรี่
1. ระวังอย่าพ่วงแบตเตอรี่กลับขั้ว
อาจทำให้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ต่างๆ หรือแม้กระทั่ง ECU เสียหายได้
และถ้าเกิดประกายไฟสปาคร์ อาจทาให้เกิดระเบิดได้
2. ควรเอาผ้าปิดบริเวณที่เติมน้ากลั่นไว้ ป้องกันไอของก๊าซไฮโดรเจนระเหยไปโดนประกายไฟ
รู้ไว้ใช่ว่า...เรื่องแบตเตอรี่รถยนต์
รู้ไว้ใช่ว่า...
การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์นั้นต้องให้ความสำคัญไม่แพ้พอๆกับการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์เช่นกันครับแน่นอนว่าแบตเตอรี่จะทนหรือไม่ทนปัจจุบันหนึ่งมันขึ้นอยู่กับร้านผู้ขายแบตรถยนต์เองด้วยเนื่องจากหากไม่รอบคอบหรือละเอียดในการใส่ใจในสินค้าที่จำหน่ายก็จะมีสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพส่งออกไปถึงมือลูกค้าอย่างแน่นอน
แบตเตอรี่รถยนต์ที่ดีนั้นจะต้องที่สโลว์ชาร์ตที่กระแสไฟฟ้าต่ำๆและมีการชาร์ตในน้ำเพื่อเป็นการหล่อเย็นด้วยไม่ให้อุณหภูมิของแบตเตอรี่สูงมากนัก
จึงจะดีกว่า ในการชาร์ตทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้มาตรฐานสูงสุดทุกลูกในแบตเตอรี่กระกั่วกรดทุกลูกครับ
รถยนต์แต่ละประเภทใช้งานแตกต่างกันควรใช้แบตเตอรี่แบบไหนกันแน่
1. หากคุณเป็นคนที่ชอบทิ้งรถไว้แล้วบินไปต่างประเทศบ่อยๆ(1เดือนสตาร์ทหน)แนะนำให้เลือกใช้แบตเตอรี่ประเภทแห้งครับเหตุผลเพราะในแบตเตอรี่แห้งจะมีค่า
CCA ที่สูงกว่าในปริมาณแบตเตอรี่ชนิดน้ำที่ปริมาณกระแสแอมป์เท่ากันอย่างเช่นแบตเตอรี่45แอมป์แบบน้ำจะมีค่าCCA ที่320 ในขณะที่แบตแห้ง45แอมป์จะมีค่า CCAที่450
ตามนี้ครับจึงสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าและอยู่ได้อึดทนนานกว่าครับ
2. หากคุณใช้งานแบบเชิงพาณิชย์(วิ่งทุกวันวันละเป็นร้อยกิโล)
แนะนำแบตเตอรี่น้ำครับเนื่องจากตะกั่วพลวงในแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่นนั้นมีความทนทานแต่กินน้ำกลั่นไปหน่อยนั้นจึงเป็นเหตุที่ต้องมีรูระบายไอความร้อนเพราะแบตเตอรี่แห้งไม่มีรูระบายไอความร้อนที่เหมือนแบตนน้ำเวลาวิ่งนานๆจะเกิดความร้อนสะสมแบตแห้งจะบวมง่ายมากครับแต่แบตน้ำเมื่อวิ่งนานๆจะระบายความร้อนได้ดีแต่ต้องแลกกับการคอยเช็คระดับน้ำกลั่นที่บ่อยกว่าแต่มันก็ถูกแบบมาเพื่อใช้งานเชิงพาณฺชย์อย่างแท้จริงครับและราคาถูกด้วย
3. หากคุณใช้งานรถยนต์แบบที่ทั่วไป(สตาร์จเช้าไปทำงานเย็นกลับบ้านวิ่งแค่วันละไม่เกิน3-4ชั่วโมง)แบบนี้จะมีบ่อยมากครับใช้ได้ทั้ง2แบตทั้งน้ำและแห้งขึ้นอยู่กับผู้ใช้หากชอบดูแลรถเองอยู่แล้วก็จะนิยมแบตน้ำกันครับราคาถูกกว่าดีด้วยแต่หากยุ่งๆไม่ค่อยว่างดูแลรถยนต์ใช้แบบแห้งก็ได้ครับสะดวกสบายดีแต่จะยังไงก็ตามแต่คนเรามักจะลืมเปิดไฟทิ้งไว้ในรถแน่นอนจะทำให้แบตหมดและอายุสั้นลงด้วยทางที่ดีควรตรวจเช็คให้เรียบร้อยก่อนออกจากรถนะครับ
การเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์
ในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่นั้น
ไม่ควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ รถยนต์โดยไปลดขนาดของแอมป์ลงโดยเด็ดขาด แต่สามารถเลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้นได้
โดยประมาณ 10-30 แอมป์ ถ้าหากว่ามีการติดตั้งอุปกรณ์ เพิ่มเติมขึ้นมา
เช่น ติดตั้งพวกระบบเครื่องเสียง ต่างๆ หรือ ติดตั้งพวกอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ไฟแบตเตอรี่หมด
ไฟแบตเตอรี่หมด ปัญหาอันเนื่องมาจากไดชาร์จ
ทำงานไม่ปกติ ควรรู้ คือ
น้ำกลั่นแห้งไวกว่าปกติ
ผู้ใช้รถยนต์ส่วนใหญ่มักมองข้ามปัญหาอันเนื่องมาจากไดชาร์จทำงานผิดปกติ
ซึ่งผู้ใช้รถยนต์มักจะมองว่าปัญหาเกิดจากแบตเตอรี่ จริงๆแล้วไม่ใช่ และมักทำให้ผู้ใช้รถยนต์เข้าใจผิด
หรือไม่เข้าใจ โดยมุ่งแต่ว่าปัญหาเกิดจากแบตเตอรี่เสีย
และเมื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ก็จะเกิดปัญหาเดิมๆตามมาอีกนั้นเอง ฉะนั้นผู้ใช้รถยนต์ควรทำความเข้าใจว่าไดชาร์จมีส่วนสำคัญมากกับระบบไฟของรถยนต์และไฟของแบตเตอรี่
เช่นกันปัญหาที่เกิดจากไดชาร์จอาจเกิดได้ทั้งจาก ไดชาร์จ ชาร์จไฟเข้าเกิน ชาร์จไฟต่ำ
ชาร์จไฟไม่พอ หรือไดร์ไม่ชาร์จก็เป็นได้ โดยไดชาร์จ รถยนต์ มีผลกับเรื่องของไฟในแบตเตอรี่
หรือน้ำกลั่น มาก คือ
- ถ้าไดชาร์จ ชาร์จไฟไม่พอชาร์จต่ำกว่า 13.30
จะทำให้แบตเตอรี่ไฟหมดได้ครับ ในระยะเวลา 3 - 6 เดือนหรือมากกว่านั้น
สาเหตุก็อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งไดชาร์จสกปรก ไดชาร์จเสื่อมสภาพ เป็นต้น
ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ
- ถ้าไดชาร์จ ชาร์จไฟแรงเกินชาร์จสูงกว่า 14.50
จะทำให้น้ำกลั่นในแบตเตอรี่เดือด และทำให้น้ำแห้งไว
เป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่เสียไว
ผู้ใช้รถยนต์สามารถนำรถยนต์ของท่านมาให้ ร้านตรวจเช็ค ไดชาร์จได้ ถ้าเกิดปัญหา ไดชาร์จควรไปซ่อมแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยด่วน
ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาการใช้รถยนต์ของท่านได้ทุกเวลา
การตรวจสอบดูแลระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ (ดาดาแบตเตอรี่) 0814143443
การตรวจสอบดูแลระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่
เป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นในเรื่องของการดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูสุด
และเป็นการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นด้วย
การดูแลระดับน้ำกรดของแบตเตอรี่นั้นเราไม่ควรปล่อยให้ระดับน้ำกรดลดลงไปเยอะหรือจนแห้ง
ซึ่งจะมีผลทำให้แบตเตอรี่มีกำลังไฟไม่พอที่จะใช้งานได้
หรืออาจรุนแรงถึงขั้นทำให้แบตเตอรี่เสียได้เลย อันเนื่องมาจากสาเหตุแผ่นธาตุไหม้
ซึ่งถ้าระดับน้ำกรดลดลงไปก็จะส่งผลทำให้แอมป์ในแบตลดลงไปด้วยหรือภาษาชาวบ้านก็คือไฟหมด
ไฟไม่พอ ทำให้ไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้เพราะกำลังไฟในแบตลดลงต่ำค่าที่จะสตาร์ทได้ และต้องนำมาอัดไฟเพิ่มเข้าไปใหม่เพื่อให้แบตฯมีกำลังพอให้กลับมาใช้งานได้ใหม่อีกครั้ง
แต่อาจส่งผลกับระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ ในระยะยาวอาจทำให้อายุการใช้งานสั้นลงไปบ้างได้ ยิ่งถ้าเราปล่อยให้ระดับน้ำกรดในแบตแห้งลงไปก็จะทำให้แผ่นธาตุไหม้ทำให้แบตเตอรี่เสียอย่างถาวรไม่สามารถอัดไฟเข้าไปใหม่ให้กลับมาใช้งานได้อีก
การดูแลสำหรับแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่นหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าแบตน้ำ
นั้นเราควรตรวจดูระดับน้ำกรดเป็นประจำทุกๆสัปดาห์หรือไม่ควรเกินทุกๆ 2 สัปดาห์
ส่วนสำหรับแบตเตอรี่ชนิดพร้อมใช้หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่าแบตแห้ง
เราควรตรวจดูระดับน้ำกรดทุกๆ 5-6
เดือน(และต้องเป็นแบตพร้อมใช้ชนิดที่สามารถเติมน้ำกลั่นได้เท่านั้น)
วิธีเติมและตรวจสอบระดับน้ำกรด ควรเติมด้วยน้ำกลั่นเท่านั้นให้อยู่ในระดับคอล่างของแต่ละช่องที่ยืดลงไป
และไม่ควรเติมเยอะกว่าคอล่างจะทำให้เวลาเดือดน้ำกลั่นจะระเหยล้นออกมา
และขึ้นขี้เกลือ เกิดความสกปรกกับห้องเครื่องยนต์นั้นเอง
วิธีการตรวจสอบดูก็คือคอยตรวจดูเป็นประจำตามแต่ชนิดแบตเตอรี่ที่ใช้ว่าเป็นแบตชนิดเติมน้ำกลั่นหรือชนิดพร้อมใช้
ถ้าระดับน้ำกรดลดลงไปกว่าคอล่างก็ให้เราเติมน้ำกลั่นลงไปให้ได้ระดับคอล่างของแต่ละช่องทุกๆช่องนั้นเอง
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)